2.1พรหมโลกแห่งจักรวรรดิขะแมร์
สัมผัสพรมโลก โดยการนิมิต และรับรู้ วงจร พรหม สู่ การเกิด สรรพสิ่ง มนุษย์เจริญเป็นชนเผ่า ในดินแดนสุวรรณภูมิ และการเกิดของอาณาจักรสุวรรณภูมิยุคเริ่มแรกและ ร่าง อวาตารที่ 2 สุวรรณภูมิ ยุคกำเนิดจักรวรรดิขะแมร์ เห่งเทวราชาธิราช มหาจักรพรรดิเหนือดินแดนสุวรรณภพ
2.1 A
Trimurti and Devalai of Nexus one
ตรีมูรติเป็นแนวคิดในศาสนาพราหมณ์ที่หมายถึงเทพเจ้าหลักสามองค์ของวิหารฮินดู: พระพรหม, พระวิษณุและพระอิศวร เทพเจ้าทั้งสาม เป็นกองกําลังเสริมและพึ่งพาซึ่งกันและกันซึ่งทํางานร่วมกันเพื่อรักษาสมดุลและความสามัคคีของจักรวาล ตามตํานานฮินดูตรีมูรติโผล่ออกมาจากไข่จักรวาลในตอนต้นของเวลาและเทพเจ้าแต่ละองค์แสดงถึงแง่มุมที่แตกต่างกันของจักรวาล พระพรหมเป็นผู้สร้าง พระวิษณุเป็นผู้รักษา และพระอิศวรเป็นผู้ทําลาย
พระตรีมูรติเป็นตัวแทนของธรรมชาติวัฏจักรของจักรวาลโดยมีการสร้างการอนุรักษ์และการทําลายล้างเป็นส่วนที่จําเป็นของระเบียบธรรมชาติ บทบาทและความรับผิดชอบของแต่ละบุคคลเชื่อมโยงกันและพวกเขาทํางานอย่างกลมกลืนเพื่อให้แน่ใจว่าการทํางานที่ราบรื่นของจักรวาล เรื่องราวและคําสอนของพวกเขาเป็นแหล่งแรงบันดาลใจและการนําทางสําหรับผู้ที่แสวงหาการเติบโตทางวิญญาณและการตรัสรู้ รวมถึงเตือนเราถึงความเชื่อมโยงกันของทุกสิ่งในจักรวาล
หนึ่งในความเชื่อหลักของศาสนาพราหมณ์คือการปฏิบัติของยัจนาหรือการเสียสละตามพิธีกรรม ในยัจนาสัตว์ถูกสังเวยให้กับเทพเจ้าเพื่อเอาใจพวกเขาและได้รับพร การเสียสละสัตว์ถูกมองว่าเป็นวิธีที่จะทําให้เทพเจ้าพึงพอใจและรับรองความโปรดปรานอย่างต่อเนื่อง สัตว์ได้รับการคัดเลือกและเตรียมการอย่างรอบคอบและการเสียสละของพวกเขาถือเป็นการกระทําอันศักดิ์สิทธิ์ที่ทําให้ชุมชนใกล้ชิดกับพระเจ้ามากขึ้น การเสียสละสัตว์มักจะมาพร้อมกับชุดพิธีกรรมและพิธีกรรมที่ซับซ้อนซึ่งออกแบบมาเพื่อให้เกียรติเทพเจ้าและรับรองการปฏิบัติที่เหมาะสมของการเสียสละ นักบวชหรือที่เรียกว่า พราหมณ์ มีบทบาทสําคัญในพิธีกรรมและความเชี่ยวชาญในการเสียสละของพวกเขามีมูลค่าสูง เนื้อของสัตว์ที่เสียสละมักถูกแจกจ่ายให้กับสมาชิกในชุมชนเพื่อแบ่งปันพรของการเสียสละ เลือดและส่วนอื่น ๆ ของสัตว์ยังใช้ในพิธีกรรมและพิธีกรรมต่าง ๆ เพื่อชําระล้างและทําความสะอาดผู้เข้าร่วม แม้ว่าการเสียสละสัตว์จะเป็นส่วนสําคัญของศาสนาพราหมณ์
ในห้วงเวลาหนึ่งแห่งสหประชารัฐสุวรรณภพ Dr Watta เป็นบุตรแห่งพราหมณ์วิษณุวัช ที่ พราหมณ์ประจำชุมชนแห่งหนึ่ง ในเขตลุ่มน้ำโขงตอนใต้ แม้ชาติกำเนิดที่สองคือวรรณะแห่งพราหมณ์ แต่ชาติพันธ์กำเนิดของเขาไม่ทราบแน่ชัด พราหมณ์วิษณุวัช พบเขาที่แท่นบูชา เทพตรีมูติ แล้วนำมาเลี้ยง เมื่อเติบโตเขาได้เรียนสำเร็จด้านชีวพันธุศาสตร์ จนสามารถเข้าร่วมกับ บริษัทข้ามชาติ ทำธุรกิจ การบริการวิศวพันธุกรรม หรือการรักษา พันธุกรรมบำบัดและงานอดิเรกที่เขาแอบทำ คือการสร้างคลังเก็บรหัสพันธุกรรมที่รวบรวมรหัสพันธุกรรมต่างๆไว้ใน ฐานข้อมูล super computer ส่วนตัว แม้เขาเติบโตในวรรณะพราหมณ์ เขาปฏิเสธการสืบทอดงานของบิดา เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับการทำพิธีกรรมบูชายัญ เซ่นไหว้ และไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า เขาเชื่อวิทยาศาสตร์ และศรัทธาใน วัตรปฏิบัติที่เป็นฮินดูแบบใหม่ที่ไม่ทำวัตรปฏิบัติบูชาพระเจ้า เขาจึงถูกขับออกจากตระกูลพราหมณ์ ไปใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ที่เป็นวิถีสังคมใหม่ที่ ไร้วัตรปฏิบัติทางศาสนา และเข้ากลุ่ม คนสุวรรณภพรุ่นใหม่ภายใต้ ภาคีนักเคลื่อนไหว สหประชารัฐสุวรรณภพ จนปฏิรูปสำเร็จในยุคสมัยแห่งสุวรรณภพใหม่ เขาอยู่ตัวคนเดียวด้วยเหตุผลที่มากมาย เรื่องราวต่างๆยาวเหยียด ปัจจุบันเมื่อเข้าปัจจฉิมวัยแล้ว จิตใจที่เคยแข็งแกร่งกลับ อยู่ด้วยความเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย เขาจึงตัดสินใจ เข้าทดลองเล่นเกมส์ VR Triphumi simulator ทั้งที่วัยสูงอายุแล้ว
2.1 B
Shiva Devalai of Chantra empire and First wave of the First Revolution was established "Chatra Empire"
เดิมที โลกนี้มีแต่ความว่างเปล่า แต่จากความว่างเปล่าพระพรหมผู้สร้างสรรพสิ่ง พระพรหมทรงสร้างจักรวาล ดวงดาว ดาวเคราะห์ และสรรพชีวิตที่อาศัยอยู่ พระองค์ยังทรงสร้างวัฏจักรแห่งชีวิต การตาย และการเกิดใหม่ เมื่อเวลาผ่านไปมนุษย์เริ่มเกิดเป็นชนเผ่าขึ้นตามส่วนต่างๆ ของโลก ในดินแดนสุวรรณภพ ได้กำเนิดนครรัฐต่างๆ จวบจนห้วงเวลายุคเริ่มแรก มีอาณาจักรใหม่ที่สำคัญคือคีรีรัฐนครที่ครอบคลุมดินแดนส่วนใหญ่สุวรรภพตอนกลาง ตะวันตกและคาบสมุทรสุวรรณทวีป มีอาณาจักรอันน้ม ทางตะวันออกเฉียงเหนือ อาณาจักรจามปา ณ ดินแดนชายฝั่งตะวันออกและอาณาจักรศรีโครตรบูรในดินแดนลุ่มน้ำโขง ตอนกลาง ต่อมา กลุ่มพราหมณ์จากอินเดียได้ขยายอิทธิพล ทั้งแนวคิดศาสนาพราหมณ์ การค้าทางเรือ และการทหารการรบ ใช้อาวุธทำด้วยเหล็กแทนสำริด พวกเขายึดพ้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออกเฉียงใต้ ปากแม่น้ำโขง แล้วขยายอิทธิพลเข้าสู่แผ้นดินลุ่มน้ำโขงโตนเลสาป จนกระทั่งสถาปนาอาณาจักรฟูนัน หรือพนม แทนที่อาณาจักรคีรีรัฐนครแล้วแผ่ขยายอำนาจไปทั่วทั้ง สุวรรณภพ อาณาจักรนี้นำโดยกษัตริย์ แห่งราชวงศ์ไศเรนทร์เริ่มแรก ที่ชาญฉลาดและเที่ยงธรรมซึ่งเป็นที่รักของประชาชน ผู้คนในสุวรรณภพ เจริญรุ่งเรืองภายใต้การนำของเขา และอาณาจักรก็กลายเป็นที่รู้จักในด้านความมั่งคั่งและอำนาจทีผสานกันเป็นราชอาณาจักรแห่งเทพเจ้าที่มีพราหมณ์เป็นผู้นำทางวิญญาณสื่อสารกับตรีมูรติ
จวบจนกระทั่ง ยุคเหล็กตอนต้น ณ สุวรรณภพ เขตลุ่มน้ำโขงตอนกลาง ที่มีกษัตริย์ผู้แกร่งกร้า นามว่า พระเจ้าจิตรเสนหรือ มเหนทรวรมัน พระองค์นับถือพระศิวะ ผู้เป็นเทพเจ้าแห่งภูเขา ได้จัดสร้าง ปราสาทวัดภู หรือ ลิงคบรรพต แห่ง คิริศะ เพื่อแสดงถึงชัยชนะเหนืออาณาจักรฟูนัน และตั้ง อาณาจักรแห่งจันทรา ปราสาทแห่งนี้อุทิศให้กับพระศิวะเทพเจ้า สถานที่ศักดิ์สิทธิ์หลักประกอบด้วย สัญลักษณ์ลึงค์ที่แสดงถึงเทพเจ้าพระศิวะ และเลียนแบบรูปร่างของภูเขาเมรุ ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ที่ตั้งของปราสาทบนเนินเขาที่มองเห็นแม่น้ําโขงช่วยเพิ่มความสําคัญทางจิตวิญญาณเนื่องจากเชื่อกันว่าเป็นสถานที่ที่โลกวิญญาณและโลกทางกายภาพตัดกัน เชื่อว่ามีการบูชายัญสัตว์ที่นั่นที่อุทิศแด่พระอิศวร โดย พราหมณ์ปุโรหิต ศิวาไกลวัลย์ เป็นนักบวชตำแหน่งสูงสุด แห่ง นครรัฐเศรษฐปุระ เป็นผู้ที่ทำพิธีสำคัญนี้ให้กับพระมหากษัติริย์ และกลุ่มโขลญ ผู้ใกล้ชิดกษัตริย์ในราชสำนัก
ต่อมาอาณาจักรจันทรา ขยายอำนาจสู่ลุ่มน้ำโขงตอนล่าง แม่น้ำมูล แม่น้ำชีและแม่น้ำป่าสัก ควบคุมเส้นทางการค้าเกลือและเหล็กเชื่อมต่อการค้าทางทะเลจากกับอาณาจักรจามปา ที่สำคัญทุกดินแดนที่อิทธิพล จันทรอาณาจักรไปถึง มักมีการสร้าง ลิงคบรรพต "คิริศะ" ถวายองค์ศิวะเทพเจ้าเสมอ จนกระทั่ง ยุคพระเจ้าอิศานวรมัน ที่ 1 สามารถยึดครองดินแดนฟูนันได้ทั้งหมด จึงได้สถาปนาสหราชอาณาจักรจันทรา มีกษัตริย์นักรบ นักปกครอง พราหมณ์ และพ่อค้า ผสานอำนาจและผลประโยชน์ โดยมีไพร่ ทาส เป็นผู้ใช้แรงงาน ในกาลต่อมาเมื่อกลุ่มชนชั้นนำเริ่มลุแก่อำนาจ มีการทำพิธีตามคัมภีร์กาลิกาปุราณะ ที่สังเวยเลือดให้เทพธิดากาลี โดยที่กษัตริย์ทรงกระทำเอง และการกดขี่ข่มเหงผู้ใต้ปกครอง จนเกิดความเสื่อมแห่งราชวงศ์และพราหมณ์ จึงเกิดจลาจลภายในเกืดความแตกแยกอาณาจักรเป็นสองส่วน จันทราเหนือและจันทราใต้ ต่อมาจันทราใต้ เป็นเมืองประเทศราช ของอาณาจักรชวาทวีปแห่งคาบสมุทรสุวรรณภพ
Dr Watta และทีมของเขาได้วาร์ปไปยังไทม์ไลน์แห่งสุวรรณภพ โดยมุ่งมั่นที่จะทำตามแผนบุกอาณาจักรจันทราและสังหารจักรพรรดิให้ได้ พวกเขาวางแผนและวางกลยุทธ์เป็นเวลาหลายเดือน รวบรวมข่าวกรองและติดต่อกับทายาท พราหมณ์ ศิวะไกลวัลย์ และเหล่าพ่อค้าแห่งฮินดูใหม่ ก่อกบฎ ครองอำนาจเหนืออาณาจันทราใต้ Dr Watta พยายามจะนำแนวาคิดประชาธิปไตยเพื่อสร้างสหประชารัฐใหม่เหนือดินแดน แต่ถูกซ้อนแผน โดยเหล่าพราหมณ์ แล้วผสานแนวคิดฮินดูใหม่และลัทธิเทวราช นำมาใช้ โดยมีพระมหากษัตริย์เป็น จักรพรรดิพระองค์เดียว มหากษัตริย์พระองค์แรก คือ พระเจ้าชัยวรมันที่ 2 ภายใต้จักรวรรดิแห่อาณาจักรพระนครแห่งขแมร์ เมื่อพวกเขาปลดแอกและสถาปนาจักรวรรดิแห่งขะแมร์ สำเร็จ พวกเขาได้วางแผนการขยายอำนาจขึ้นเหนือ อาณาจักรจันทราเหนือ แต่สิ่งนอกเหนือความคาดหมายพวกเขาต้องเผชิญกับการต่อต้านจากกองทัพอาณาจักรจันทราเหนือในทันที การต่อสู้ที่ดุเดือดเกิดขึ้นโดยทั้งสองฝ่ายต่อสู้อย่างดุเดือดเพื่อชิงความเป็นใหญ่ Dr Watta และทีมของเขาต่อสู้อย่างกล้าหาญ แต่พวกอาณาจักรจันทราเหนือ มีจำนวนมากกว่าและเหนือกว่า กองทัพขะแมร์แห่งพระนครล้มตายลงในสนามรบแตกทัพหนีกลับเมืองพระนคร ส่วน Dr Watta ถูกจับตัวไปเฝ้าจักรพรรดิด้วยความไม่หวังชัยชนะ เขาถูกตัดสินให้สังเวยพระอิศวร เทพแห่งขุนเขาที่ปราสาทวัดพู Dr Watta ถูกพาไปที่ปราสาท ซึ่งพบพราหมณ์ปุโรหิตศิวะไกลวรรณ มหาปุโรหิตแห่งเมืองเศรษฐปุระ ปุโรหิตทำพิธีอัญเชิญพลังของพระอิศวรและเตรียม Dr Watta สำหรับการบวงสรวง ในฝ่าย Dr Watta แม้จะหวาดหวั่นแต่ทึ่งในพิธีกรรมและความเชื่อของผู้คน แต่เขาเห็นพลังแห่งศรัทธาของพวกเขา
ขณะที่พิธีบวงสรวงเซ่นสังเวยร่าง Dr Watta เพื่อถวายองค์ศิวะ กำลังจะจัดขึ้นที่ปราสาทวัดพู คณะพราหมณ์กำลังสวดพระคัมภีร์และเตรียมการประกอบพิธีกรรม ทันใดนั้นก็มีแสงเจิดจ้าสว่างไสวไปทั่วทั้งปราสาท พื้นดินสั่นสะเทือนและกำแพงสั่นไหวขณะที่ทุกคนคุกเข่าลงด้วยความกลัว ในใจกลางของปราสาทซึ่งเป็นที่ตั้งของวิหารหลัก รูปปั้นของพระอิศวรมีชีวิตขึ้นมา ดวงตาของรูปปั้นเปิดออกและมีลำแสงพุ่งออกมาจากหน้าผากของเทพ ส่องสว่างไปทั่วทั้งวิหาร ทุกคนที่เห็นปาฏิหาริย์นี้ต่างตกตะลึง บางคนคุกเข่าสวดอ้อนวอน ในขณะที่บางคนวิ่งหนีด้วยความหวาดกลัว Dr Watta ซึ่งถูกมัดและกำลังจะบวงสรวงก็ตกใจและประหลาดใจกับภาพตรงหน้าเช่นกัน เมื่อแสงสว่างเจิดจ้าขึ้น ก็เผยให้เห็นนิมิตแห่งชีวิตหลังความตาย ประตูแห่งสวรรค์และนรกเปิดออก และทุกคนก็มองเห็นวิญญาณของผู้จากไป คนชอบธรรมได้รับการต้อนรับเข้าสู่สวรรค์ ส่วนคนอธรรมถูกโยนลงไปในขุมนรกที่ลุกเป็นไฟ ผู้คนในอาณาจักรประหลาดใจกับการแสดงอำนาจอันน่าอัศจรรย์นี้ บางคนเชื่อว่ามันเป็นสัญญาณของความไม่พอใจของพระอิศวรในขณะที่คนอื่น ๆ เห็นว่าเป็นสัญญาณของพรของเขา
สำหรับ Dr Watta คือประสบการณ์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิต พวกเขามาถึงเส้นเวลานี้ด้วยความตั้งใจที่จะสังหารจักรพรรดิและเปลี่ยนเส้นทางของประวัติศาสตร์ แต่หลังจากได้เห็นพลังของพระอิศวรและนิมิตแห่งชีวิตหลังความตาย พวกเขาก็เปลี่ยนใจ พวกเขาตระหนักว่าการกระทำของพวกเขาอาจส่งผลร้ายแรง ไม่ใช่แค่ในไทม์ไลน์นี้เท่านั้น แต่ในชีวิตหลังความตายด้วย พวกเขาร้องขอการให้อภัยและให้คำมั่นว่าจะใช้ความรู้และทักษะของพวกเขาเพื่อพัฒนามนุษยชาติให้ดีขึ้น ปาฏิหาริย์แห่งดวงตาที่สามของพระอิศวรมีผลกระทบอย่างมากต่อทุกคนที่พบเห็น มันเป็นเครื่องเตือนใจถึงพลังแห่งสวรรค์และผลของการกระทำของเราในชีวิตนี้และโลกหน้า เมื่อพิธีสิ้นสุดลง ร่างของเขาถูกทิ้งไว้ในปราสาท ให้พระศิวะเจ้าตัดสินชะตาชีวิตเขา อันเป็นการเคารพยกย่องพลังของเทพเจ้าและความศรัทธาของผู้คนในอาณาจักรจันทราเหนือ ในส่วน Dr Watta เริ่มตั้งคำถามกับความเชื่อของเขาเองในด้านวิทยาศาสตร์และการใช้เหตุผล เขาจึงหลับตาตั้งสติ กล่าวสดุดีพระองค์ด้วยเศียรเกล้า แล้วหมดความรู้ตัวสิ้นสติและหลับไหลไปหลายชั่วกาล
2.1 C
Vishnu Devalai of Khmer empire
Dr Watta สามารถหลบหนีเข้าป่าไปได้ เขารู้ว่าเขาไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้ เพราะมันจะส่งผลร้ายแรงในอนาคต ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจอยู่ในไทม์ไลน์นี้และหาทางที่จะอยู่ในโลกใบใหม่นี้ เขาใช้ชีวิตอย่างหลบๆ ซ่อนๆ ในป่าเป็นเวลาหลายเดือน สังเกตผู้คนและวัฒนธรรมของยุคใหม่นี้ เขาตระหนักว่าเขาจำเป็นต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วและเรียนรู้ภาษาและขนบธรรมเนียมของพวกเขาหากต้องการอยู่รอด ดร.วัตตะสามารถติดต่อกับกลุ่มกบฏสายพุทธแห่งลุ่มน้ำโขง ที่กำลังต่อสู้กับจักรวรรดิขะแมร์ เขาเข้าร่วมกับพวกเขาและใช้ความรู้เดิมเพื่อสร้างอาวุธและเทคโนโลยีใหม่เพื่อช่วยในการต่อสู้ ด้วยความช่วยเหลือของ Dr Watta พวกกบฏสามารถเอาชนะอาณาจักรอีศานปุระและสร้างอาณาจักรศรีโครตบูรขึ้นใหม่ แต่อยู่ภายใต้อารยธรรมแห่งพุทธเถระทวาราวดี ครอบครองดินแดนลุ่มน้ำชีและแม่น้ำโขงตอนกลาง Dr Watta ได้รับการยกย่องเป็นฮีโร่ และได้รับเกียรติขึ้นเป็นที่ปรึกษาแห่งกษ้ตริย์ Dr Watta ได้พบเป้าหมายใหม่ในโลกใหม่นี้ และเขารู้ว่าเขาสามารถสร้างความแตกต่างได้ เขายังคงใช้ความรู้ของเขาเพื่อช่วยเหลือผู้คนและพัฒนาเทคโนโลยีของอาณาจักรใหม่นี้ และแม้ว่าเขาจะย้อนเวลากลับไปไม่ได้ แต่เขาก็พอใจที่รู้ว่าเขาได้พบบ้านใหม่และครอบครัวใหม่ในโลกยุคโบราณนี้
ในส่วนจักรวรรดิขะแมร์ ภายหลังที่ได้นำลัทธิเทวราช ที่กำหนดให้กษัตริย์เป็นสมมติเทพ และกลายเป็นส่วนหนึ่งของพระศิวะ และมีพราหมณ์เป็นผู้ประกอบพิธี ดังนั้น จึงเป็นการผสานอำนาจกษัตริย์และพราหมณ์ ทั้งกษัตริย์และพราหมณ์ ต่างมีประเพณีสร้างปราสาทที่เป็นเทวาลัย เพื่อตนเองจะได้ไปสู่ สุคติเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า และแตกนิกายนับถือพระนารายณ์ โดยจักรพรรดิขอมผู้ยิ่งใหญ่ สุริยวรมันที่ 2 ที่เชื่อว่าพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกับพระวิษณูเทพ ได้ทรงสร้างเทวาลัย สำหรับพระองค์หลังสิ้นจากโลกมนุษย์ คือปราสาทนครวัด อันยิ่งใหญ่แห่งกษัตริ์ขะแมร์ ทรงพระนาม ว่า "ปราสาทวิษณุโลก"
กษัตริย์ยืนอยู่ต่อหน้าฝูงชนจำนวนมากที่รวมตัวกันอยู่ในห้องโถงใหญ่ของพระมหาปราสาท พระองค์ทรงฉลองพระองค์ด้วยอาภรณ์ ประดับด้วยอัญมณีและสัญลักษณ์แห่งอำนาจแห่งพระวิษณุเจ้า ระหว่างรอประกาศ เทวราชโองการ ต่อประชาราษฎร ชาวเมืองพระนคร นั้น พระองค์หวนคิดถึงการสนทนาก่อนหน้า กับ พรามหมณปุโรหิต
องค์ราชา: ท่านปุโรหิต เราใคร่ครวญเกี่ยวกับแนวคิดเรื่องเทวราชา ซึ่งเราได้ยินมาจากพ่อค้าจากแดนอนุภพ ความว่ากษัตริย์กลายเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าท่านคิดอย่างไรรึ ?
พราหมณ์ปุโรหิต: ขอเดชะ เทวราชาเป็นแนวคิดที่ใช้ในอาณาจักรแดนอนุภพ กษัตริย์ถือเป็นเทพเจ้าและเป็นตัวแทนของเทพเจ้าบนโลก แนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่และมีอยู่ในตำนานฮินดูมานานหลายศตวรรษ
องค์ราชา: เข้าใจแล้ว แต่การเป็นหนึ่งเดียวกับเทพเจ้าหมายความว่าอย่างไรสำหรับฉัน มันเป็นพลังที่ฉันครอบครองหรือสิ่งที่ฉันควรต่อสู้เพื่อ?
พราหมณ์ปุโรหิต: ฝ่าบาท มีความเชื่อว่าเทพเจ้าทรงเลือกกษัตริย์ให้ปกครอง และพระองค์มีสิทธิ์อันศักดิ์สิทธิ์ที่จะทำเช่นนั้น การรวมเป็นหนึ่งกับเทพเจ้า หมายความว่ากษัตริย์เป็นช่องทางให้พลังศักดิ์สิทธิ์ไหลผ่านโดยตรง และทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างเทพเจ้าและประชาชน เป็นวิธีที่จะทำให้การปกครองของกษัตริย์ชอบธรรมและสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนเชื่อฟังพระองค์
องค์ราชา: เข้าใจแล้ว หมายความว่าเราไม่ใช่แค่กษัตริย์แต่เป็นผู้นำจิตวิญาณด้วย?
พราหมณ์ปุโรหิต : ขอรับ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านคือผู้ปกป้องผู้คน ผู้ปกป้องศรัทธา และเป็นผู้ที่ได้รับการบูชาและเคารพในอาณาจักรของเรา ดังเช่นจักรวาลแห่งเทพเจ้า
องค์ราชา: โอ้ ? ท่านพราหมณ์ นี่เป็นความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่
ขณะคิดเพลินๆนั้นพลันเสียงหนึ่งแทรกเข้ามา "ได้ กาลเวลากล่าว ราชาโองการ แล้ว โปรดเกล้า ด้วยเถิด"
องค์เทวราขาแห่งพระนคร มองออกไปจากโถง เพ่งกระแสพระราชดำรัส ด้วยพระสุรเสียงก้องกัมปนาท กังวาลไกล
“ตัวเรา คือเทวราชา” พระราชาตรัสต่อไป “นับแต่นี้ เราคือผู้ปกครอง ที่เป็นกษ้ตริย์ เป็นเทพเจ้าในองค์เดียวกัน”
เสียงหอบและเสียงกระซิบกระจายไปทั่วฝูงชน นี่เป็นแนวคิดที่รุนแรงซึ่งไม่เคยมีใครเสนอมาก่อน
“ในฐานะราชาของประขาราษฎร ” ราชาประกาศ “ตัวข้าคือภาชนะสำหรับพลังของเทพเจ้า ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องปกครอง ด้วยสติปัญญาและความเมตตา เพื่อนำทุกท่านไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองและความยิ่งใหญ่”
ฝูงชนต่างส่งเสียงอื้ออึงและปรบมือ พวกเขาเคารพและเทิดทูนกษัตริย์ของพวกเขามาโดยตลอด แต่ตอนนี้พวกเขาเห็นพระองค์ในมุมมองใหม่ เขาไม่ใช่แค่มนุษย์ธรรมดาแต่เป็นเทพบุตรเทพในองค์เดียวกัน
องค์ราชาทรงแย้มพระสรวล ทรงทราบว่าได้รับพระราชสาส์นแล้ว "ประชาราษฎร ชาวพระนครที่รัก ขอให้ทุกคนร่วมมือกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันภายใต้เสวตฉัตรของเทวราชา เพื่อทำให้อาณาจักรของเรายิ่งใหญ่ที่สุดในแผ่นดิน ด้วยอำนาจของเทพเจ้าที่อยู่เคียงข้างตัวเรา"
และด้วยคำพูดเหล่านั้น อิทธิพลของกษัตริย์ที่มีต่อประชาชนของเขาก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น พวกเขาเห็นพระองค์ไม่ใช่แค่ในฐานะผู้ปกครอง แต่ในฐานะเทวาราชา เทพเจ้าในองค์เดียวกัน และพวกเขาพร้อมที่จะติดตามพระองค์ไปจนสุดปลายพิภพ
เมื่อกษัตริย์พูดจบ ฝูงชนทั้งหมดก็โห่ร้องและปรบมือ เสียงกลองและแตรดังไปทั่วอากาศขณะที่ผู้คนโห่ร้องว่า "ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน!" กษัตริย์ทรงยืนอยู่ที่นั่นด้วยรอยยิ้ม ขณะที่พระองค์รับคำชมเชยจากประชาชนของพระองค์
พรหมปุโรหิตเข้าเฝ้าพระราชา ถวายบังคม “ฝ่าบาท ข้าพระบาท รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับใช้พระองค์” พวกเขาพูดพร้อมกัน
องค์ราชายิ้มอย่างมีเลศนัย “ท่านให้เกียรติเรา ” เขาตอบ "ท่านกับข้า จะร่วมกันสร้างอาณาจักรที่โลกต้องอิจฉา"
เมื่อพรหมปุโรหิตก้าวถอยหลัง พระราชาก็ทรงหันพระพักตร์กลับมายังราษฎรของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง "ประชาราษฎร ชาวพระนครที่รักของฉัน" เขาพูดพร้อมกับยกแขนขึ้น "วันนี้เป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ ยุคแห่งความเจริญรุ่งเรือง ความสงบสุข และความสามัคคี ยุคที่เราทุกคนจะอาศัยอยู่ในเงาของเทพเจ้า"
ผู้คนโห่ร้องและกษัตริย์ก็พูดต่อ "เราทุกคนมีความสุขที่ได้อยู่ในอาณาจักรที่เหล่าทวยเทพเดินอยู่ท่ามกลางเรา เราทุกคนมีความสุขที่ได้อยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริย์ที่เป็นหนึ่งเดียวกับทวยเทพ"
องค์ราชาทรงหยุดชั่วขณะ ทรงทอดพระเนตรคนของพระองค์ "ในขณะที่เราก้าวไปสู่ยุคใหม่นี้ ขอให้เราจำไว้ว่าเราทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเรา ขอให้เราจำไว้ว่าเราทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรที่ได้รับพรจากเทพเจ้า และให้เราจำไว้ว่าเราทุกคนคือ เป็นส่วนหนึ่งของมรดกที่จะคงอยู่ชั่วลูกชั่วหลาน”
ผู้คนโห่ร้องอีกครั้งดังกว่าเดิม กษัตริย์ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้เงียบ "ประชาชนของฉัน ให้เราออกไปสร้างอาณาจักรที่จะยืนหยัดผ่านการทดสอบของกาลเวลา ให้เราออกไปสร้างโลกที่คู่ควรกับเหล่าทวยเทพด้วยตัวของมันเอง ขอกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่จงทรงพระเจริญ! ขอจงทรงพระเจริญอาณาจักรขะแมร์!"
อาณาจักรขะแมร์จึงก่อตั้งขึ้นด้วยอารยธรรมที่ทรงพลังและยืนยงที่จะทิ้งร่องรอยไว้ในภูมิภาคนี้ไปอีกนานหลายศตวรรษ
2.1 D
Nakorn Thom of Khmer empire
เมื่อถึงห้วงเวลาการล่มสลาย อารยธรรมทวาราวดีแล้วนั้น Dr Watta ไปอาศัยอยู่ในอาณาจักรวิมายปุระ แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะมีส่วนร่วมในการขยายอาณาจักร แต่เขาก็ไม่แยแสกับความรุนแรงและการทุจริตที่เขาได้เห็น เขาพบความสบายใจในคำสอนของพระพุทธศาสนาและเริ่มศึกษาศาสนาอย่างลึกซึ้ง และได้ร่วมสร้างปราสาหินแห่งวิมายปุระ ตามคติพุทธมหายานและแฝงการสร้างมิติแห่งการบรรลุอริยสัจแห่ง Generian หรือได้สร้าง Generian Temple คู่ขนานกับศาสนสถานแห่งพุทธมหายานะ
Dr Watta อยู่วัดหลายปี ศึกษาแนวทางของพระพุทธเจ้า และเรียนรู้ความจริงของเจนเนเรี่ยนจากผู้เฒ่าผู้แก่ที่นั่น เขากลายเป็นที่รู้จักในด้านสติปัญญาและความเมตตา และผู้คนจากทุกสาขาอาชีพมาขอคำแนะนำจากเขา แม้ว่าหลายคนในอาณาจักรนครธมยังคงใช้แรงงานทาส แต่ Dr Watta ก็ไม่ได้เมินเฉยต่อความอยุติธรรมนี้ เขาเห็นความทุกข์ยากของทาสและรู้สึกเรียกร้องให้ช่วยพวกเขา เขาเริ่มสอนพวกทาสเกี่ยวกับความจริงของ Generian และหลายคนรู้สึกสบายใจในคำสอนของเขา เมื่อคำสอนของ Dr Watta แพร่ออกไป มีผู้มาฟังท่านมากขึ้น รวมทั้งพระบรมวงศานุวงศ์และเจ้าหน้าที่ระดับสูง พระองค์ทรงสอนพวกเขาเกี่ยวกับความเห็นอกเห็นใจ ความเห็นอกเห็นใจ และความเชื่อมโยงกันของสรรพสิ่งในจักรวาล คำสอนของ Dr Watta มีผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อชาวนครธม หลายคนเริ่มตั้งคำถามถึงโครงสร้างทางสังคมที่ปล่อยให้มีทาสและความอยุติธรรมอื่นๆ เกิดขึ้น การเคลื่อนไหวเพื่อการเปลี่ยนแปลงเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นอย่างช้าๆ แต่แน่นอน
จักรวรรดฺิขะแมร์ ภายใต้การนำของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 มีการกระชับอำนาจของจักรพรรดิ์และพราหมณ์ ส่งผลให้จักรวรรดิขะแมร์ เอาชนะอาณาจักรจันทราเหนือได้สำเร็จ ขยายอาณาเขตไปทั่วดินแดนสุวรรณภพ เข้ายึดครองเมืองและรัฐเล็กๆ อื่นๆ ในลุ่มน้ำโขง มูล น้ำชี ป่าสัก และแม่น้ำเจ้าพระยา อย่างไรก็ตามดินแดนด้านตะวันตก ลุ่มแม่น้ำท่าจีน แม่กลอง และคาบสมุทรมลายูยังคงเป็นอิสระต่อกัน แม้ว่าจักรวรรดฺิขะแมร์ จะมีอำนาจทางทหารและอิทธิพลทางการเมือง แต่ผู้คนในดินแดนที่เพิ่งถูกพิชิตกลับต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย รวมทั้งการกดขี่และการแสวงหาผลประโยชน์จากจักรวรรดิ อำนาจของจักรพรรดิและพราหมณ์ยังคงเติบโต นำไปสู่การฉ้อราษฎร์บังหลวงและการใช้อำนาจโดยมิชอบภายในชนชั้นปกครอง ในขณะเดียวกัน ดินแดนตะวันตกและรัฐอิสระอื่นๆ ในภูมิภาคก็เริ่มสร้างพันธมิตรและสร้างกองกำลังทหารของตนเองเพื่อต้านทานการขยายตัวของจักรวรรดฺิขะแมร์ สนามการต่อสู้ระหว่างนครรัฐต่างๆได้เห็นเค้าลางสำหรับความขัดแย้งและการสงครามที่จะกำหนดชะตากรรมของภูมิภาคสุวรรณภูมิในศตวรรษต่อ ๆ ไป
ต่อมายุคสมัยขะแมร์ แห่งชัยวรมันที่ 7 ผู้ยึดถือพุทธมหายานนิกาย นครธมเป็นเมืองหลวงแห่งสุดท้ายและยั่งยืนที่สุดของจักรวรรดิขะแมร์ ซึ่งสร้างขึ้นโดยกษัตริย์ ชัยวรมันที่ 7 เมืองนี้ล้อมรอบด้วยคูน้ําและกําแพงขนาดใหญ่พร้อมประตูทางเข้าขนาดใหญ่ห้าแห่งที่ตกแต่งด้วยหินแกะสลักช้างและสัตว์ในตํานานอื่น ๆ ประตูที่มีชื่อเสียงที่สุดคือประตูทิศใต้ซึ่งขนาบข้างด้วยใบหน้ายักษ์สี่หน้าแกะสลักลงในหิน มีโครงสร้าง ภายในกําแพงและอนุสาวรีย์ที่สําคัญหลายแห่งรวมถึงวัดบายน, วัดบาพูน, ระเบียงช้าง และ พระลานเสด็จขี้เรื้อน โครงสร้างเหล่านี้มีชื่อเสียงในด้านงานแกะสลักและประติมากรรมที่ซับซ้อนซึ่งแสดงถึงฉากจากตํานานขะแมร์และชีวิตประจําวัน วัดบายนเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีชื่อเสียงที่สุดในนครธมโดยมีหอคอยที่โดดเด่นด้วยใบหน้ายิ้มแย้มลึกลับที่คิดว่าเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าหรือกษัตริย์เอง วัดพระพุทธรูปปางมารวิชัยเป็นอีกหนึ่งสิ่งก่อสร้างที่น่าประทับใจ โดยมีภูเขาวัดรูปทรงพีระมิดขนาดใหญ่และกําแพงแกะสลักอย่างประณีต ระเบียงช้างและระเบียงของกษัตริย์โรคเรื้อนเป็นทั้งแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ที่ใช้สําหรับพระราชพิธีและขบวนแห่ พวกเขาตกแต่งด้วยงานแกะสลักและประติมากรรมที่ประณีตซึ่งแสดงถึงช้างเทพเจ้าและสัตว์ในตํานานอื่น ๆ นครธมเป็นเครื่องพิสูจน์ที่น่าสนใจถึงอํานาจและความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิแห่งขะแมร์
Dr Watta ได้รับเชิญ ไปร่วมสร้างปราสาทนครธม อโรคยาสถานและเส้นทางราชมรรคา ที่เชื่อมต่อ ราชอาณาจักรขอมและประเทศราช จนกระทั่งหลังการล่มสลายของอาณาจักรขะแมร์ นครธมจากการก่อกบฎยึดอำนาจโดยกลุ่มราชวงศ์สายพรามณ์ฮินดูบ้านเมืองระส่ำระสาย Dr Watta ได้ไปอาศัยกับวัดพุทธสายเถรวาทและบวชเป็นพระในนิกายเถรวาทแห่งนครธม หลังจากนั้นไม่นาน Dr Watta ก็เกิดจิตตื่นขึ้น เขาเข้าไปในวิหาร Generian ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีความสำคัญทางจิตวิญญาณอย่างมากสำหรับผู้คนใน Generian และเริ่มการเดินทางชีวิตใหม่ในฐานะพระสงฆ์แห่งพุทธเถรวาทแห่งสุวรรณภพ สืบต่อจาก สิทธาระ
2.1 E
Lost of Powerful Khmer empire
จักรวรรดิขะแมร์ ได้ควบคุมดินแดนอันกว้างใหญ่ แม้จะมีอํานาจและความมั่งคั่ง แต่ในที่สุดจักรวรรดิขะแมร์ ก็ล่มสลายและตกอยู่ในความคลุมเครือว่าความเสื่อมโทรมของจักรวรรดิขะแมร์ เป็นกระบวนการที่ช้าและค่อยเป็นค่อยไปและในที่สุดจักรวรรดิขะแมร์ เริ่มเสื่อมถอยอํานาจและอิทธิพลเริ่มลดลง มีหลายปัจจัยที่ทําให้เกิดความเสื่อมของจักรวรรดิขะแมร์ หนึ่งในสิ่งที่สําคัญที่สุดคือสงครามทําลายล้างและความขัดแย้งกับจักรวรรดิใกล้เคียงเช่นจามปาและไดเวียด สงครามเหล่านี้ทําให้กองทัพขะแมร์ อ่อนแอลงและสิ้นเปลืองทรัพยากรของจักรวรรดิทําให้มีความเสี่ยงต่อภัยคุกคามจากภายนอกมากขึ้น อีกปัจจัยหนึ่งคือความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จักรวรรดิขะแมร์ ถูกสร้างขึ้นบนระบบที่ซับซ้อนของคลองอ่างเก็บน้ําและระบบชลประทานซึ่งทําให้สามารถเจริญเติบโตในภูมิประเทศที่ไม่เอื้ออํานวย อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาผ่านไประบบเหล่านี้เริ่มเสื่อมสภาพเนื่องจากการใช้มากเกินไปการละเลยและการเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อม ในที่สุดความขัดแย้งภายในและความไม่มั่นคงทางการเมืองก็มีบทบาทในการลดลงของจักรวรรดิขะแมร์ เมื่อจักรวรรดิมีขนาดใหญ่ขึ้นและซับซ้อนขึ้นการปกครองก็ยากขึ้นเรื่อย ๆ และกลุ่มคู่แข่งภายในชนชั้นปกครองมักจะแย่งชิงอํานาจและอิทธิพล สิ่งนี้นําไปสู่ช่วงเวลาแห่งความไม่มั่นคงและการสู้รบที่ทําให้จักรวรรดิอ่อนแอลงจากภายใน ในรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันปรเมศวร แห่งพระนครหลวงได้เกิดการลุกฮือของชนชั้นทาสในเมืองพระนครหลวงเนื่องจากการถูกบังคับกดขี่ใช้แรงงานหนักจากชนชั้นปกครองในรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันปรเมศวร ทรงปกครองโดยไม่ชอบธรรม ทำให้บ้านเมืองเกิดกลียุค ในเมืองมีทาสมากกว่านายทาส พวกทาสได้ลุกฮือขึ้นก่อจลาจลเพื่อปลดแอกจากชนชั้นปกครอง จากนั้นทาสได้ร่วมกันสังหารนายทาสจนบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ได้ มีการวางแผนเป็นขั้นเป็นตอนและมีการเตรียมการไว้โดย ตรันวัน ผู้สืบสายเลือดต้นกำเนิดบรรพบุรุษชาวกัมพุชโบราณ ที่ถูกเกณฑ์ทำงานเป็นไพร่ ตรันวัน ได้ติดต่ออย่างลับๆ กับพระปทุมราชาพระราชบิดา องค์ชัยและเชลยทาสชาวจามปาที่ต้องการยึดอำนาจเพื่อปลดแอกจากพวกชนชั้นปกครอง หลังจากการเสด็จขึ้นครองราชย์ตรันวัน หรือพระเจ้าตระซ็อกปะแอม หรือเจ้าแตงหวาน ได้ทำการกวาดล้างกลุ่มอำนาจเก่าจนเกือบสิ้น
ตรันวัน เป็นหัวหน้าไพร่ ที่ฉลาดและกล้าหาญ เขาถูกเกณฑ์มาอยู่ในชุมชนแห่งวัดพุทธเถรวาท ทำหน้าที่ทำการเกษตร แต่ที่ทำให้ชุมชนมีชื่อเสียงคือการปลูกแตงโมรสชาดดี ขนาดเป็นเครื่องทรงถวายให้กษัติร์ เขาเริ่มเบื่อหน่ายกับระบอบการปกครองที่ฉ้อฉลของอาณาจักรขะแมร์ และการไม่สนใจประชาชนทั่วไป เขาจึงทรงตั้งกองทัพปลดแอกแห่งจตุรมุขใต้ดิน ที่รวมทาสและชาวนาเพื่อต่อสู้กับอาณาจักรขะแมร์ Dr Watta มองว่านี่คือโอกาสที่จะช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับภูมิภาค เขาเข้าหา ตรันวันด้วยข้อเสนอที่จะช่วยเขาในการปฏิวัติ ในตอนแรก ตรันวัน ไม่เชื่อในเจตนาของDr Watta แต่ในไม่ช้าเขาก็เห็นคุณค่าของการมีคนเก่งวิทยาศาสตร์อยู่เคียงข้าง Dr Watta และตรันวันร่วมกันวางแผนล้มล้างอาณาจักรขะแมร์ พวกเขารับคนจำนวนมากขึ้นเพื่อจุดประสงค์ของพวกเขา และในไม่ช้าพวกเขาก็มีกองทัพที่น่าเกรงขาม
เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม กษัตริย์เสด็จออกประพาสนอกเมือง พวกเขาก็ลงมือดักโจมตี การสู้รบครั้งใหญ่ครั้งแรกของพวกเขาคือการต่อสู้กับกองทัพของอาณาจักรขะแมร์ ที่เมืองพระนคร การสู้รบเป็นไปอย่างดุเดือด แต่กองทัพของ ตรันวัน ก็เตรียมพร้อมและฝึกฝนมาอย่างดี พวกเขาสามารถเอาชนะกองทัพของอาณาจักรขะแมร์ และเข้ายึดครองเมืองได้ อาณาจักรขะแมร์ถูกล้มล้าง Dr Watta เฝ้าดูขณะที่ผู้คนเฉลิมฉลองอิสรภาพที่เพิ่งค้นพบ หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความหวังสำหรับอนาคต เขารู้ว่าจะมีความท้าทายรออยู่ข้างหน้า แต่เขาก็พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับพวกเขาโดยมีพันธมิตรที่เพิ่งค้นพบอยู่เคียงข้างเขา ตรันวัน และDr Watta จึงเริ่มสร้างอาณาจักรใหม่ ย้ายเมืองหลวงลงใต้ที่สายน้ำใหญ่บรรจบกัน ๔ สายน้ำสำคัญ พวกเขาตั้งชื่อมันว่า อาณาจักร เขมรจตุรมุข ที่นับถือธรรมราชาแบบพุทธเถรวาท ภายใต้การนำของตรันวัน และคำแนะนำของ Dr Watta เขมรจตุรมุข จึงเจริญรุ่งเรือง ราษฎรอยู่เย็นเป็นสุขพ้นจากการกดขี่ของอาณาจักรรอบข้าง Dr Watta ยังคงสอน ธรรมอริยสัจแห่ง Generian แก่ทุกคนโดยไม่คำนึงถึงสถานะทางสังคม การปฏิวัติสำเร็จ งานของพวกเขายังไม่เสร็จ พวกเขายังคงทำงานร่วมกันเพื่อสร้างอนาคตที่ดีให้กับ เขมรจตุรมุข และประชาชนเขมร
2.1 F
The first wave of the second Revolution was established Khmer kingdom
ในที่สุด จักรวรรดิขะแมร์ ได้สูญเสียดินแดนและอํานาจไปมาก เมืองและวัดที่ครั้งหนึ่งเคยยิ่งใหญ่ก็ถูกทิ้งร้างและถูกลืมเลือน ภายหลังการปฏิวัติ พระเจ้าปทุมะ และกลุ่มเชลยชาวจามเดินทางกลับดินแดนแคว้นจาม ตรันวันและDr Watta จึงได้เขียนเรื่องราวเพื่อสื่อสารถีงชาวประชาราฏรของพระราชาองค์ใหม่ ในตำนานพระเจ้าแตงหวาน พระเจ้าแตงหวาน เป็นบุคคลในตํานานในประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิเขมรยุคใหม่ เขาได้รับการกล่าวขานว่าเป็นผู้ก่อตั้งอาณาจักรเขมรใหม่ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงหลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิขอม อังกอร์วัดและอังกอร์ธม
สมเด็จตรันวัน หรือ พระเจ้าแตงหวานนี้ เป็นปฐมกษัตริย์ต้นราชวงศ์ของราชสกุลนโรดม และทรงเป็นผู้สร้างพระแสงหอกลำแพงชัย อันเป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์ที่สำคัญมากที่สุดของอาณาจักรกัมพูชาคู่กับ พระขรรค์ราช พระเจ้าแตงหวานมีสหายรักคือองค์ชัย พระราชบิดาเป็นเจ้าชายเชื้อพระวงศ์แห่งอาณาจักรจามปา เมื่อครั้งพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ผู้สืบเชื้อจากะแมร์สูง หรือกรอม หรือขอมขแมร์ แห่งอาณาจักรพระนครหลวงยกทัพหลวงจากละโว้ (ลพบุรี) เข้าโจมตีเมืองพระนครหลวงได้คืนจากพระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรจามปาที่ปกครองพระนครหลวงแล้วยกทัพหลวงบุกต่อไปถึงอาณาจักรจามปา จนมีชัยชนะสามารถผนวกดินแดนจามปาเข้าเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิกรอม-ขะแมร์ ได้สำเร็จ เพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะเหนือจามปา พระองค์ได้กวาดต้อนเชื้อพระวงศ์จามปา รวมถึงไพร่ทาสชาวจามปาเข้าเป็นเชลยเกณฑ์เป็นแรงงานสร้างปราสาทหิน รวมทั้ง เจ้าชายปทุมะแห่งจามปาผู้เป็นพระราชบิดา ได้ถูกกวาดต้อนมาในครั้งนี้ด้วย ด้วยเป็นเชื้อพระวงศ์ที่สวามิภักดิ์จึงได้รับการดูแลเยี่ยงเชลยศักดิ์ ต่อมาพระองค์ได้ทูลขอเสด็จออกบวชเป็นพราหมณ์ขึ้นไปบำเพ็ญตบะอยู่บนเขาพนมกุเลน ส่วนพระนางโสภาวดี ที่เป็นชาวพื้นเมือง เผ่านาคา ได้พบรักกับ เจ้าชายปทุมะขณะออกบวช และเพื่อการบรรลุธรรมหลุดพ้น จึงขอให้พระชายาไปอาศัยกับกลุ่มชาวบ้านชุมชน ณ โตนเลสาป ใกล้กับกลุ่มทาส ณ ปราสาทนครธม ต่อมาพระชายาทรงพระครรภ์จึงกลับปลอมปนพระองค์อยู่กับกลุ่มเชลยศักดิ์ชาวจาม เมื่อพระนางคลอดบุตรชายตั้งชื่อว่าองค์ชัย เป็นเด็กฉลาดและมีบุญญาธิการมากพออายุได้ 7 ปี มารดาให้ออกตามหาบิดาที่ออกบวชอยู่บนเขา เรียนรู้วิชาความรู้จากพระบิดา เมื่อเติบโตเป็นหนุ่มจึงลาพระบิดากลับไปดูแลพระมารดา พระบิดาได้มอบเมล็ดแตงให้ 3 เมล็ดและเหล็กอีกก้อนหนึ่งเชื่อว่าเป็นของวิเศษระหว่างเดินทาง องค์ชัยได้ถูกทำร้ายโดยโจรป่า เหล็กหลุดมือ ขณะที่องค์ชัยเสียทีโจรป่า ตรันวันได้ช่วยเหลือไว้โดยหยิบเหล็กองค์ชัยพุ่งปักอกหัวหน้าโจรป่าเสียชีวิต พวกโจรแตกหนีไป ทั้งสองจึงผูกมิตรร่วมอุดมการณ์ แล้วองค์ชัยจึงมอบนำเมล็ดแตงและหอกเหล็กให้ตรันวันตอบแทน ตรันวันนำแตงโมมาปลูก ต่อมาเด็กเลี้ยงวัวมาเก็บกินพบว่ารสชาติดีมีรสหวานฉ่ำ ตรันวันจึงหวงแตงนั้นมากวันหนึ่งมีวัวจะมากินแตงที่ปลูกไว้ตรันวัน ได้นำเหล็กที่องค์ชัยมอบให้ขว้างใส่วัวจนทะลุตัววัวเสียชีวิต เรื่องราวของผลแตงหวานนั้นดังไปถึงหูพระราชาพระเจ้าชัยวรมันที่ 9 พระองค์จึงโปรดที่จะเสวยแตงนั้น เมื่อเสวยแล้วทรงโปรดปรานยิ่งนักจึงทรงแต่งตั้ง ตรันวัน เป็นหัวหน้าสวนหลวง และโปรดให้นำเหล็กที่ขว้างวัวจนตายไปตีเป็นหอก ไว้ป้องกันโจรขโมยมาลักขโมยแตง พระเจ้าชัยวรมันที่ 9 ทรงพระราชทานพระแสงหอกลำแพงชัยนั้นให้เป็นอาญาสิทธิ์ อยู่มาวันหนึ่งพระเจ้าชัยวรมันที่ 9 ปรารถนาเสวยแตงขึ้นมากลางดึก จึงเสด็จลงไปในสวนจะไปเก็บแตงมาเสวย ซึ่งนายแตงหวานนึกว่าเป็นโจรมาลักแตง จึงขว้างพระแสงหอกลำแพงชัยอันเป็นอาญาสิทธิ์โดนพระเจ้าชัยวรมันที่ 9 ถึงแก่สวรรคต บรรดานาหมื่นสรรพมุขมนตรีทั้งหลายจึงพร้อมใจกันถวายราชสมบัติให้ขึ้นสืบราชบัลลังก์เป็นพระเจ้าแผ่นดินแห่งกรุงพระนครหลวง โดยเฉลิมพระนามหลังจากเสวยราชสมบัติว่า พระบาทกมรเตง อัญศรีสุริโยพันธุ์ บรมมหาบพิตรธรรมิกมหาราชาธิราช และทรงรับพระนางจันทรวรเทวี พระราชธิดาในพระเจ้าชัยวรมันที่ 9 เป็นสมเด็จพระอัครมเหสี เป็นอาณาจักรเขมรจตุรมุข ที่นับถือพุทธเถรวาท
ตามตํานานเล่าว่าพระเจ้าแตงหวาน เป็นกษัตริย์ที่ฉลาดและกล้าหาญที่นําพาผู้คนของเขาผ่านช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายและความไม่แน่นอนครั้งใหญ่ เขาเป็นที่รู้จักในด้านความแข็งแกร่งและความกล้าหาญในการต่อสู้ตลอดจนสติปัญญาและความเห็นอกเห็นใจต่อผู้คนของเขา พระเจ้าแตงหวาน ได้รวมชนเผ่าขะแมร์พื้นราบ และเผ่าต่างๆเข้าด้วยกันภายใต้ธงของเขาสร้างอาณาจักรใหม่ที่ทรงพลังซึ่งสามารถต้านทานภัยคุกคามจากภายนอกและรักษาเอกราชได้ เขายังเป็นที่รู้จักจากการอุปถัมภ์ศิลปะและได้รับการกล่าวขานว่าได้สร้างวัดและอนุสาวรีย์ที่สวยงามมากมายทั่วอาณาจักรของเขา แม้จะประสบความสําเร็จมากมาย แต่ พระเจ้าแตงหวาน เป็นผู้ปกครองที่อ่อนน้อมถ่อมตนและไม่เห็นแก่ตัวที่ให้ความสําคัญกับความต้องการของประชาชนเป็นอันดับแรกเสมอ เขาเป็นที่รักและเคารพของทุกคนที่รู้จักเขาและรัชสมัยของเขาถูกมองว่าเป็นยุคทองของสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองในประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิขะแมร์ยุคใหม่แห่งจตุรมุข
Dr Watta ยังคงสั่งสอนและเผยแผ่ ธรรมอริยสัจแห่ง Generian ต่อไปตราบจนสิ้นอายุขัย มรดกของเขายังคงอยู่ สร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นหลังค้นหาความจริงและต่อสู้เพื่อความยุติธรรมและความเท่าเทียมกันสำหรับทุกคน